หลักการใช้ Present Simple Tense
Present แปลว่า ปัจจุบัน ดังนั้น Present Simple Tense จึงเป็นประโยคที่มีโครงสร้างแบบง่าย ๆ เพื่อใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน โดยมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. ใช้เพื่อพูดถึงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นอดีตหรืออนาคตก็ตาม เช่น
When the earth moves around itself, it makes Day and Night. (เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง มันทำให้เกิดกลางวันกลางคืน)
2. ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ นิสัย หรือการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ บ่อย ๆ เป็นประจำทุกวัน เช่น
I walk to school every day. (ฉันเดินไปโรงเรียนทุกวัน)
3. ใช้เพื่อให้คำแนะนำหรือการบอกทิศทาง เช่น
Turn off the television before going to bed. (ปิดโทรทัศน์ก่อนเข้านอน)
รูปประโยคของ Present Simple Tense
1. ประโยคบอกเล่า โครงสร้างของประโยคบอกเล่า : Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา) ทั้งนี้คำกริยาช่องที่ 1 นั้นจะมีการเติม s หรือ es ถ้าหากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) แต่ถ้าประธานเป็น I, You หรือประธานพหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ให้คงรูปคำกริยานั้น ๆ ไว้เช่นเดิม เช่น
I go to university by bus every morning. (ฉันไปมหาวิทยาลัยโดยรถโดยสารประจำทางทุกเช้า)
2. ประโยคคำถาม โครงสร้างของประโยคคำถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ
แบบที่ 1 : Verb to be + Subject + Object/ส่วนขยาย + (คำบอกเวลา) ? ใช้เมื่อในประโยคนั้นมี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น
She is my sister. ---> Is she your sister ? (หล่อนเป็นน้องสาวคุณหรือเปล่า?)
แบบที่ 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา) ? ใช้เมื่อประโยคนั้นไม่มี V. to be จึงต้องนำ V. to do ได้แก่ do กับ does เข้ามาช่วย โดยขึ้นต้น
ประโยคนำหน้าประธาน ซึ่งมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันคือ Do ใช้นำหน้า I, You และประธานที่เป็นพหูพจน์ (You, We, They) ส่วน Does ใช้นำหน้าประธานที่เป็น
เอกพจน์ (He, She, It) และคำกริยาคงรูปช่องที่ 1 เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเติม s, es เช่น
They play football every evening. ---> Do they play football every evening? (พวกเขาเล่นฟุตบอลทุกเย็นหรือเปล่า?)
3. ประโยคปฏิเสธ รูปแบบประโยคปฏิเสธใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคล้ายกับรูปแบบประโยคคำถามคือ
แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/ส่วนขยาย + (คำบอกเวลา) ใช้เมื่อในประโยคนั้นมี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น
I am your servant. ---> I am not your servant. (ฉันไม่ได้เป็นคนรับใช้ของคุณ)
แบบที่ 2 : Subject + Verb to do + not + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา) แบบที่สองใช้เมื่อประโยคนั้นไม่มี V. to be จึงต้องนำ V. to do ได้แก่ do กับ does เข้ามาช่วย
แล้วตามหลังด้วย not เพื่อบอกความปฏิเสธ ส่วนคำกริยาให้คงรูปช่องที่ 1 เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเติม s,es เช่น
He watches television at home. ---> He does not watch television at home. (เขาไม่ได้ดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน)
คำบ่งบอกเวลา Time expression ( every day / week / year ) / always / usually / often / sometime / never

หลักการเติม s/es ที่คำกริยา ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ Singular
1. คำกริยาปกติทั่วไป สามารถเติม s ได้เลย เช่น work → works / come → comes
2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย o, s, ch, x, z ให้เติม es เช่น do → does / go → goes / teach → teaches
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y จะมี 2 กรณี คือ
3.1 กรณีที่หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น cry → cries / dry → dries
3.2 กรณีที่หน้า y เป็นสระ a, e, i, o, u ให้เติม s ได้เลย เช่น play → plays / buy → buys
ข้อสังเกตุ ข้อแตกต่างระหว่างคำนามกับกริยา คือ คำนาม จะเติม s, es ก็ต่อเมื่อ คำนามนั้นเป็นพหูจน์ แต่สำหรับคำกริยา เราจะเติม s, es ก็ต่อเมื่อ ประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ เช่น he, she, it